
ระเบียบหน่วยราชการในพระองค์
ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๗
เพื่อให้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ของหน่วยราชการในพระองค์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมในปัจจุบัน และประกาศหน่วยราชการในพระองค์ เรื่อง นโยบายเทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ จึงเห็นสมควรปรับปรุง แก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ มีความมั่นคงปลอดภัย สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาจากการใช้งานระบบเทคโนโลยีดิจิทัล
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบหน่วยราชการในพระองค์ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๗”
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิก “ระเบียบส่วนราชการในพระองค์ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านระบบสารสนเทศ พ.ศ.
๒๕๖๐”
ข้อ ๔ ให้ประธานข้าราชบริพารในพระองค์ เป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้
บทนิยาม
ข้อ ๕ ในระเบียบนี้
หน่วยงาน
หมายความว่า หน่วยงานระดับกองขึ้นไป หรือกองพันขึ้นไป ของหน่วยราชการในพระองค์
หน่วยงานภายนอก
หมายความว่า หน่วยงานหรือองค์กร ที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยราชการในพระองค์
ให้มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล และใช้งานข้อมูลหรือทรัพย์สินต่าง ๆ ของหน่วยงาน
โดยจะได้รับสิทธิในการใช้งาน ตามอำนาจและต้องรับผิดชอบในการรักษาความลับของข้อมูล
บุคลากร (Peopleware) หมายความว่า ผู้ใช้งาน
(User) และผู้ดูแลระบบ (Admin) ที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน
สิทธิการเข้าถึง
หมายความว่า การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งาน ผ่านการกำหนดรหัสผ่าน
หรือการปิดสิทธิ์ไม่ให้ผู้ใช้งานเห็นข้อมูลนั้น ๆ
รหัสผ่าน (Password) หมายความว่า ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์ต่าง ๆ
ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบยืนยันตัวบุคคล (Authentication) และใช้ในการเข้าถึงระบบหรือข้อมูล (Authorization)
โดเมนเนม (Domain Name) หมายความว่า ชื่อที่ตั้งขึ้นให้กับเว็บไซต์
เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ และการนำไปใช้
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) หมายความว่า ส่วนของกลไกที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
ระบบสารสนเทศ (Information
System) หมายความว่า เป็นระบบพื้นฐานของการทำงานต่าง
ๆ ในรูปแบบของการนำเข้า
(input)
การประมวลผล (processing) แสดงผล (output)
และมีส่วนจัดเก็บข้อมูล (storage)
VPN (Virtual Private Network) หมายความว่า เครือข่ายเสมือนจริง
สำหรับใช้ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายภายในองค์กร
การเข้าถึงจากระยะไกล (Remote Access) หมายความว่า วิธีการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จากระยะทางไกล
ที่สามารถควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
หมวด ๒
คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์
ข้อ ๖ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง
เรียกว่า “คณะกรรมการอำนวยการ การรักษา
ความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล” ประกอบด้วย
(๑) ประธานข้าราชบริพารในพระองค์ ประธานกรรมการอำนวยการ
(๒) รองเลขาธิการพระราชวัง รองประธานกรรมการอำนวยการ
(๓) ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ รองประธานกรรมการอำนวยการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(๔) เลขาธิการองคมนตรี กรรมการอำนวยการ
(๕) ผู้บัญชาการสำนักงานราชองครักษ์ประจำพระองค์ กรรมการอำนวยการ
(๖) ผู้บัญชาการกองบัญชาการทหารมหาดเล็ก กรรมการอำนวยการ
ราชวัลลภรักษาพระองค์
(๗) ผู้บัญชาการกองบัญชาการนายตำรวจ กรรมการอำนวยการ
ราชองครักษ์ประจำพระองค์
(๘) ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล กรรมการอำนวยการและเลขานุการ
หน่วยราชการในพระองค์(๙) ผู้อำนวยการกองระบบเครือข่ายสารสนเทศ ผู้ช่วยเลขานุการ
และความปลอดภัย ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์
ข้อ ๗ ให้คณะกรรมการอำนวยการ
การรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมีอำนาจ และหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๒) ให้คำแนะนำ และคำปรึกษา
เกี่ยวกับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัลต่อคณะกรรมการดำเนินการ
การรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
(๓)
ติดตามการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของหน่วยราชการในพระองค์
(๔) ให้อำนาจคณะกรรมการดำเนินการ
การรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัลติดตาม ตรวจสอบ สอบสวน
และเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของหน่วยราชการในพระองค์
(๕) พิจารณา แก้ไข นโยบาย
ระเบียบ
ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของหน่วยราชการในพระองค์
หมวด ๓
บททั่วไป
ข้อ ๑๐ ให้ ทุกหน่วยงานของหน่วยราชการในพระองค์
รวมถึงหน่วยงานภายนอก และบุคคลภายนอก
ที่เข้ามาปฏิบัติงานภายในหน่วยราชการในพระองค์ ยึดถือและปฏิบัติตามระเบียบฉบับนี้
ข้อ ๑๑ ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ มีหน้าที่เสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบนี้ โดยเสนอต่อคณะกรรมการดำเนินการ
การรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
ทั้งนี้ หน่วยงานของหน่วยราชการในพระองค์สามารถเสนอแนะ การปรับปรุงแก้ไข ระเบียบนี้ผ่านศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ ได้
ข้อ ๑๒ หากมีเหตุอันเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์
ให้รายงานต่อศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ โดยทันที
ข้อ ๑๓
หากมีการตรวจสอบพบว่าผู้ใดล่วงละเมิด และส่งผลกระทบอันก่อให้เกิดความเสียหายให้คณะกรรมการดำเนินการ
การรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ทำการสอบสวนเพื่อเสนอโทษทางวินัย และดำเนินกระบวนการทางกฎหมาย
ข้อ ๑๔ ระเบียบฉบับนี้
ประกอบด้วย แนวปฏิบัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ดังนี้
(๑)
การระบุความเสี่ยง (Identify)
(๒)
การป้องกัน (Protect)
(๓)
การตรวจสอบ (Detect)
(๔)
การปฏิบัติเมื่อเผชิญเหตุ (Respond)
(๕)
การฟื้นฟู (Recover)
หมวด 4
แนวปฏิบัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
ข้อ ๑๕ การระบุความเสี่ยง (Identify) การระบุความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นแก่คอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบสารสนเทศ
ข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ซึ่งรวมถึงข้อมูลทรัพย์สินดิจิทัลและบุคคล
๑๕.๑
การจัดการทรัพย์สินดิจิทัล
๑๕.๑.๑
ให้หน่วยงานแต่งตั้งหรือมอบหมายเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินดิจิทัล
๑๕.๑.๒ ให้หน่วยงานจัดทำทะเบียนทรัพย์สินดิจิทัล
และดูแลรักษาทะเบียนทรัพย์สินดิจิทัลให้เป็นปัจจุบัน ตามวิธีปฏิบัติในการสำรวจและบันทึกข้อมูลที่กองระบบเครือข่ายสารสนเทศ
และความปลอดภัย ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ กำหนด
โดยมีข้อมูลอย่างน้อย ดังนี้
(๑) ข้อมูลทั่วไป
(๒) ข้อมูลเฉพาะ
(๓) ข้อมูลการบำรุงรักษา
(๔) ข้อมูลผู้ใช้
๑๕.๑.๓ ให้หน่วยงานตรวจสอบทะเบียนทรัพย์สินดิจิทัล
และรายงานวงรอบประจำปี (มกราคม - ธันวาคม) ไปยังศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ ภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป โดยมีแบบฟอร์มรายงานการปรับปรุงทะเบียนทรัพย์สินดิจิทัลและวิธีปฏิบัติตามที่กองระบบเครือข่ายสารสนเทศ
และความปลอดภัย ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ กำหนด
๑๕.๑.๔ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินดิจิทัล ให้หน่วยงานปรับปรุงทะเบียนทรัพย์สินดังกล่าว
และรายงานมายังศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ ภายในกำหนด ๓๐
วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
๑๕.๑.๕ ให้หน่วยงานประเมินความเสี่ยงของทรัพย์สินดิจิทัลในความรับผิดชอบ
ตามแนวทางที่ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์กำหนด อย่างน้อยปีละ ๑
ครั้ง
๑๕.๑.๖ ในกรณีบุคลากรพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่
สิ้นสุดการจ้างงานหรือสิ้นสุดโครงการ ต้องคืนทรัพย์สินดิจิทัลของหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ส่งคืนแก่เจ้าหน้าที่ตามข้อ ๑๕.๑.๑
๑๕.๒
การประเมินช่องโหว่และการทดสอบระบบความปลอดภัย
๑๕.๒.๒
ในการประเมินช่องโหว่แต่ละครั้ง ให้หน่วยงานพิจารณาระบุขอบเขตหรือข้อยกเว้น
ของการประเมินแต่ละรายการ เช่น ข้อมูลที่มีชั้นความลับ เป็นต้น หากมีรายการใดไม่สามารถนำมาประเมินช่องโหว่ได้ ให้ระบุเป็นหมายเหตุไว้ข้างท้าย
๑๕.๒.๔
ให้หน่วยงานนำผลการประเมินช่องโหว่ไปประกอบการจัดทำทะเบียนความเสี่ยง ตามแนวทางที่ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ กำหนด
๑๕.๓
การประเมินความเสี่ยงและกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง
๑๕.๔
การระบุผู้ให้บริการภายนอกที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน
๑๕.๔.๑
ให้หน่วยงานพิจารณา ทบทวน
และกำกับดูแล ผู้ให้บริการภายนอกเพื่อดำเนินการใด ๆ ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
๑๕.๔.๒
ให้หน่วยงานจัดทำบัญชีรายชื่อข้อมูลผู้ติดต่อของผู้ให้บริการภายนอก
และแจ้งให้ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ ทราบ
๑๕.๔.๓ ในการทำสัญญากับผู้ให้บริการภายนอก
หน่วยงานต้องระบุเงื่อนไข
และมีข้อกำหนดด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้รัดกุม
เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
๑๖.๑ มาตรการควบคุมการเข้าถึงทางกายภาพ
๑๖.๑.๓ ต้องบันทึกการผ่านเข้า – ออกในพื้นที่ควบคุมที่สำคัญ
ตามข้อ ๑๖.๑.๑
๑๖.๑.๔ ต้องจัดให้มีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยอื่น
ๆ ภายในหน่วยงาน ห้องทำงาน และเครื่องมือต่าง ๆ ตามที่หน่วยงานพิจารณา
๑๖.๒
มาตรการกำกับดูแลบุคลากร
๑๖.๒.๒ ให้หน่วยงานและบุคลากรปฏิบัติตามแนวทางการใช้งานรหัสผ่าน
ดังนี้
(๒)
ให้หน่วยงานร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ พิจารณาการใช้การยืนยันตัวบุคคล ๒
ขั้นตอน (Two-factor authentication) ในการยืนยันตัวตน
๑๖.๒.๓ ในกรณีบุคลากรพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่
ให้หน่วยงานดำเนินการตรวจสอบและพิจารณายกเลิกบัญชีผู้ใช้งานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
และระบบสารสนเทศโดยเร็วที่สุด
๑๖.๒.๔ บุคลากรต้องมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ศึกษาแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง
และควรมีการจัดอบรมให้ความรู้กับบุคลากรอย่างสม่ำเสมอทั้งนี้ให้ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์
พิจารณาการจัดอบรมตามความเหมาะสม
๑๖.๒.๕ ให้หน่วยงานกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ และปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันรักษาข้อมูลของบุคลากร การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
โดยให้สิทธิการเข้าถึงเฉพาะผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
๑๖.๓ มาตรการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
๑๖.๓.๑ ให้หน่วยงานมีการควบคุมการเข้าถึงของอุปกรณ์
ให้สอดคล้องกับสิทธิและหน้าที่ของบุคลากร
๑๖.๔
มาตรการควบคุมการใช้งาน Software และระบบสารสนเทศ
๑๖.๔.๑ หน่วยงานต้องมีการบริหารจัดการฐานข้อมูล
รวมถึงการสำรองข้อมูลเพื่อให้หน่วยงานสามารถดำเนินการตามแผนการกู้คืนข้อมูลและนำมาใช้ในการปฏิบัติงานได้ตามปกติ
๑๖.๔.๒ บุคลากรที่ได้รับสิทธิและหน้าที่เท่านั้น
จึงจะสามารถเข้าถึงระบบสารสนเทศได้ โดยจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบและยืนยันตัวบุคคล
(Authentication) ที่ปลอดภัย
น่าเชื่อถือ และเหมาะสมก่อนการเข้าใช้งาน เช่น
การใช้ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน หรือมาตรการเพิ่มเติมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
๑๖.๔.๓ หน่วยงานจะต้องกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบ และผู้ดูแลระบบสารสนเทศ
เพื่อตรวจสอบการใช้งานให้เป็นไปตามมาตรการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ
และควบคุมการเข้าถึงตามสิทธิและหน้าที่ของบุคลากร (Authorization)
๑๖.๔.๔ ในกรณีที่บุคลากรเข้าใช้งานระบบสารสนเทศ
จะต้องมีการจำกัดเวลาในการเชื่อมต่อ เมื่อไม่มีการใช้งานระยะเวลาหนึ่ง
จะต้องถูกบังคับให้ออกจากระบบ
๑๖.๔.๗ ให้หน่วยงานร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์
ตรวจสอบระบบสารสนเทศ รวมถึงปรับปรุง Software ให้ทันสมัยและเหมาะสมอยู่เสมอ
๑๖.๔.๘ ให้หน่วยงานจัดหมวดหมู่ของข้อมูลสารสนเทศ กำหนดระดับการเข้าถึงในหน่วยงานให้กับบุคลากรทุกระดับ
และตรวจสอบการใช้ข้อมูลสารสนเทศให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
๑๖.๔.๙ ในกรณีที่หน่วยงานมีความประสงค์ปรับปรุงระบบสารสนเทศใด ๆ ให้ประสานศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
๑๖.๔.๑๐ หน่วยงานต้องใช้งาน Software ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย
และผ่านการพิจารณาความเห็นชอบจากศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์
๑๖.๕
มาตรการควบคุมการใช้งานระบบเครือข่าย
๑๖.๕.๑ ให้หน่วยงานควบคุมการเข้าถึงระบบเครือข่าย โดยกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคลากร ให้เป็นไปตามภารกิจและมาตรการการรักษาความมั่นคงปลอดภัย
๑๖.๕.๕ ให้หน่วยงานกำกับดูแลการใช้งานของบุคลากร
ในการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่ควรใช้บริการ เช่น เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการพนัน
หรือเว็บไซต์อนาจาร เป็นต้น
๑๖.๕.๖ ให้หน่วยงานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
เก็บ Log File ไว้ไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน ทั้งนี้จะต้องเก็บ System log/ Application log/ Security log/ Audit log
และ Web server log เป็นอย่างน้อย
๑๖.๕.๗ ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ เก็บ Log File ไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน ทั้งนี้จะต้องเก็บ System log/ Application log/ Security log/ Audit log/ Web server log และ Network log เป็นอย่างน้อย
๑๗.๒ ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ ทบทวนกระบวนการ การตรวจสอบและเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์อยู่เสมอ
และพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์
๑๗.๓ ให้หน่วยงานแต่งตั้งเจ้าหน้าที่
เพื่อปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ ในกรณีที่ตรวจพบภัยคุกคามทางไซเบอร์
๑๘.๑ การจัดทำแผนเผชิญเหตุเมื่อมีภัยคุกคามทางไซเบอร์
๑๘.๑.๑
ให้หน่วยงานจัดทำแผนเผชิญเหตุภัยคุกคามทางไซเบอร์ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์
๑๘.๑.๒ ให้กำหนดวงรอบการทบทวนแผนเผชิญเหตุภัยคุกคามทางไซเบอร์โดยพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน
๑๘.๒
การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบ
๑๘.๒.๑
ให้หน่วยงานแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ และแบ่งมอบหน้าที่ให้สอดคล้องกับแผนเผชิญเหตุภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่จัดทำขึ้น
๑๘.๒.๒
ให้หน่วยงานจัดให้มีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อแก้ไขและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
๑๘.๓ การกำหนดวิธีการปฏิบัติ
(Incident Response Cycle) ดังนี้
๑๘.๓.๑ การเตรียมการ
(๑) ระบุทรัพย์สินดิจิทัลและระบบสารสนเทศที่มีความสำคัญ
ซึ่งหากถูกละเมิดจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อหน่วยงาน
(๒) ดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
โดยพิจารณาจากภัยคุกคามและการประเมินช่องโหว่ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
และระบบสารสนเทศ
(๓) เตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการปฏิบัติ
เช่น ระบบสำรองข้อมูล เป็นต้น
๑๘.๓.๒ การตรวจจับและวิเคราะห์
(๑) ระบุจำแนกเหตุการณ์ ประเภทภัยคุกคาม และประเมิน ความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(๒) ควบคุมภัยคุกคาม
และดำเนินการเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม
๑๘.๓.๓ การจำกัด (Containment) การกำจัด (Quarantine) และการกู้คืน (Recovery)
(๑) กำจัดภัยคุกคามที่เกิดขึ้น ลบมัลแวร์
แก้ไขช่องโหว่ และปิดช่องโหว่
เพื่อป้องกันการโจมตีต่อเนื่อง และไม่ให้ภัยคุกคามเกิดขึ้นซ้ำ
(๒) กู้คืนระบบและข้อมูลที่ได้รับผลกระทบ
(๓) บันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ และการปฏิบัติต่าง ๆ ในขณะเผชิญเหตุ
(๔) ให้ดำเนินการบันทึกกิจกรรมต่าง ๆ
ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่าย (Log File) ไม่น้อยกว่า
๙๐ วัน
๑๘.๓.๔
การปฏิบัติหลังจากเกิดเหตุการณ์
(๑)
ให้มีการทบทวนหลังการปฏิบัติ
โดยนำเหตุการณ์ต่าง ๆ มาวิเคราะห์ร่วมกับผลการปฏิบัติ
เพื่อนำไปสรุปเป็นบทเรียน และนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขแผนเผชิญเหตุฯ ต่อไป
(๒)
รายงานเหตุการณ์และผลการปฏิบัติให้ส่วนที่เกี่ยวข้องทราบโดยเร็ว
๑๘.๔
การซักซ้อมการปฏิบัติ
๑๘.๔.๑ ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ จัดการฝึกอบรม ให้บุคลากรมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะ ความสามารถ และมีความพร้อมในการปฏิบัติ
เมื่อเผชิญเหตุจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
๑๘.๔.๒ ให้หน่วยงานกำหนดวงรอบการซักซ้อมการปฏิบัติร่วมกับ
ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง
เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์
ข้อ ๑๙ การฟื้นฟู
(Recover)
มาตรการรักษาและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ให้ปฏิบัติตามแนวทางที่ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ กำหนด ดังนี้
๑๙.๑
การจัดทำแผน
๑๙.๑.๑ ให้หน่วยงานจัดทำแผนการสำรองข้อมูลและระบบสารสนเทศ
ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์
ตามลำดับความสำคัญของระบบสารสนเทศที่มีความจำเป็นต่อภารกิจของหน่วยงาน
๑๙.๑.๒ ให้หน่วยงานจัดทำแผนฟื้นฟูความเสียหาย / แผนการกู้คืนข้อมูลและระบบสารสนเทศ ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยราชการในพระองค์
๑๙.๒
การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบ
ให้หน่วยงานแต่งตั้งเจ้าหน้าที่
เพื่อปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัล
หน่วยราชการในพระองค์ ในการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตามข้อ
๑๙.๑
๑๙.๓ การกำหนดวิธีการปฏิบัติ
๑๙.๓.๑ การประเมิน
(๑) ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อข้อมูลและระบบสารสนเทศ
(๒) ระบุข้อมูลและระบบสารสนเทศที่ต้องกู้คืน
เพื่อให้หน่วยงานนำมาใช้ในการปฏิบัติงานได้ตามปกติ
(๓) กำหนดลำดับความสำคัญของการกู้คืนข้อมูลและระบบสารสนเทศ
๑๙.๓.๒ การกู้คืน
(๑) กู้คืนข้อมูลและระบบสารสนเทศจากระบบการสำรองข้อมูล (Backup)
(๒) ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่กู้คืนให้มีความถูกต้อง
ครบถ้วน และสมบูรณ์
(๓) ตรวจสอบระบบสารสนเทศ
เพื่อให้มั่นใจว่าระบบกลับมาทำงานได้อย่างถูกต้อง หลังจากการกู้คืน
๑๙.๓.๓ การทบทวนหลังการปฏิบัติ
(๑) สรุปผลการปฏิบัติ
พร้อมทั้งระบุบทเรียนจากเหตุการณ์เพื่อนำไปปรับใช้กับแผนการกู้คืนข้อมูลและระบบสารสนเทศในอนาคต
(๒) ประเมินประสิทธิภาพของแผนการกู้คืนข้อมูลและระบบสารสนเทศ เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุงแผนการกู้คืนฯ ต่อไป
๑๙.๓.๔ รายงานเหตุการณ์และผลการปฏิบัติให้ส่วนที่เกี่ยวข้องทราบโดยเร็ว
๑๙.๔ การซักซ้อมการปฏิบัติ
ข้อ ๒๑ คำสั่ง
หรือระเบียบใดที่ขัดต่อระเบียบนี้ ให้เป็นอำนาจของ ประธานข้าราชบริพารในพระองค์ วินิจฉัยเป็นที่สุด
ประกาศ ณ
วันที่ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗
พลอากาศเอก
(สถิตย์พงษ์
สุขวิมล)
ประธานข้าราชบริพารในพระองค์
เอกสารดาวน์โหลด
ระเบียบหน่วยราชการในพระองค์ ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๗